investor กับ digital transformation ใกล้กันแค่เอื้อม

investor กับ digital transformation

investor กับ digital transformation ก็เปรียบได้เหมือนคนที่ผลักดันโลกให้ก้าวหน้าผ่านบริษัทที่ทำ technology วันนี้ได้แลกเปลี่ยนทัศนคติกับรุ่นพี่คนนึงซึ่งเขาเก่งมาก เขามีการลงทุนในหลายโครงการที่เป็นดิจิตอล จะว่าไปเขาก็เป็นเหมือน Project Sponsor หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ Digital Business รวมทั้งในปัจจุบันเขายังเป็นที่ปรึกษาให้กับหลายๆ Digital Business ที่พูดชื่อไปรับรองว่าทุกคนต้องเคยได้ยินหรือรู้จักกันอยู่แล้วอย่างแน่นอน 

ผมจะมาถ่ายทอดให้เข้าใจง่ายๆแต่บางเรื่องอาจจะไม่ได้ถ่ายทอดเต็ม 100% เพราะเป็นเรื่องของความลับนะครับ แต่จะสรุปความให้เห็นภาพ

ทำอะไรต้องมี Focus

หลายบริษัทโดยเฉพาะบริษัทที่ไม่ได้มีเงินเยอะมาก จะต้องหาโฟกัสของตัวเองให้เจอ โดยไม่ควรจะใช้เวลาหรือทรัพยากรที่เยอะจนเกินไป เพราะว่าเงินทุนของคุณมีจำกัด ถ้ามัวแต่สาดกระสุนไปเรื่อยๆโดยที่ไม่มีทิศทาง ไม่นานกระสุนก็จะหมด และนั่นก็จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำมามันก็จบลงไป และไม่ได้อะไรกลับคืนมา(ก็อาจจะบอกว่าได้ความรู้ แต่ไม่มีเงิน ก็ทำอะไรต่อไม่ได้นะ) บางบริษัทแถมหนี้ตามมาอีกต่างหาก

การหาโฟกัสให้เจอจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะมันจะทำให้ทุกคนเข้าใจตรงกันทั้งภายในทีมงานกันเองรวมไปถึงคนข้างนอกที่มองเข้ามาที่บริษัท ว่ากำลังทำสินค้าและบริการอะไรกันอยู่ ประโยชน์ของมันคืออะไรทำไปเพื่อใคร ซึ่งเรื่องนี้จะต่อเนื่องในเรื่องถัดไป 

อย่าทำสิ่งที่มีอยู่แล้ว เป็นสิ่งใหม่

อันนี้ค่อนข้างอธิบายยาก แต่ถ้าให้ผมอธิบายง่ายๆก็คือ มีคนบางกลุ่มพยายามแก้ปัญหาคนชอบลืมที่จอดรถเวลาจอดรถในห้าง ด้วยการพัฒนาแอพพลิเคชั่นจดจำที่จอดรถขึ้นมา ซึ่งคุณต้องคิดดีๆว่าถ้าคนเขารู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนขี้ลืมในการจำที่จอดรถ เขาจะเลือกโหลด Application ของคุณเพื่อมาใช้ หรือเขาจะเปิดโปรแกรมกล้องถ่ายรูป แล้วถ่ายพื้นที่ที่เขาจอดรถเอาไว้และถ่ายเลขชั้นที่จอดรถเอาไว้กันแน่ (เพราะแก้ปัญหาได้เหมือนกัน)

โปรแกรมกล้องเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว และมันก็เป็นพฤติกรรมที่คนใช้งานกันเป็นปกติอยู่แล้ว เราก็จะต้องไม่ทำอะไรที่จะไปเปลี่ยนพฤติกรรมตรงนั้น เพราะการเปลี่ยนพฤติกรรมมันมีราคาแพงมาก และก็จะนำไปสู่การล้มเหลวของสิ่งที่กำลังทำตรงนั้นนั่นแหละ 

พี่เขาก็พูดตรงๆว่าคนเราไม่ได้มีความฉลาดมากนักหรอก ดังนั้นถ้าเขาใช้อะไรแบบโง่ๆแล้วก็สามารถทำงานได้ดีอยู่แล้ว เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องไปดิ้นรนหาอะไรที่มันยากๆมาใช้อีกอยู่ดี

สิ่งที่เรากำลังทำนี้มีทางเลือกอื่นอยู่หรือไม่ 

หลายครั้งคนมักจะหลงตัวเองว่าสิ่งที่เรากำลังทำมันคือสิ่งที่เป็นสุดยอด ไม่เคยมีใครทำมาก่อน และมันก็จะเป็นนวัตกรรม แต่คำถามง่ายๆก็คือ สิ่งที่เรากำลังทำซึ่งมันเป็นนวัตกรรมจริงๆแล้วนั้นมีทางอื่นที่เป็นทางเลือกที่ง่ายกว่านี้หรือเปล่า 

หลายอย่างชัดเจนว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะมีวิธีเดียวในการทำขึ้นมา ดังนั้นเราต้องหาให้เจอว่าความเป็นไปได้ในการที่จะไปถึงเป้าหมายมันมีอะไรอยู่บ้าง เรื่องนี้เราต้องไม่เข้าข้างตัวเองว่าความคิดของเรามันคือสุดยอด เพราะถ้าเราคิดออกมาแบบนั้นแล้วยังไง solution มันก็มีคำตอบเดียวอยู่ดี เราต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าไม่ได้มี solution อื่นอีกแล้ว เรื่องนี้อาจจะปรึกษาผู้รู้ หรือผู้ที่มีประสบการณ์เขาก็จะสามารถแนะนำเราได้เป็นอย่างดี อีกนัยหนึ่งง่ายๆก็คืออย่าขี่ช้างจับตั๊กแตน 

ทำอะไรต้องดู Market size ด้วย

พี่เขาบอกว่าสิ่งที่คุณจะทำคุณต้องดู market size ให้ออก ว่ามันมีมากน้อยยังไง แล้วคุณจะหาตลาดของคุณได้จากหนทางไหน เพราะถ้าเราทำไปโดยที่เราไม่รู้ market size หรือตลาดของเรา เราจะเสียเวลาและหลงทาง หรือแย่ที่สุดก็คือล้มเหลวในสิ่งที่เราทำเลย 

เรื่องนี้ผมมีประสบการณ์ตรง ก่อนหน้านี้มีทีม start up ทีมนึง มาขอให้ผมรีวิว และ เป็นที่ปรึกษา พอผมเข้าไปดูผมก็พบว่าสิ่งที่เขาทำมันคือ Application นึง ที่ช่วยแก้ปัญหาบางอย่างให้กับผู้สูงอายุ ที่มีปัญหาเรื่องสายตา ซึ่งกลุ่มนั้นมีจำนวนประมาณ 60,000 คนในประเทศไทย เท่านั้นยังไม่พอ รายได้ของแอพพลิเคชั่นนี้ มาจากกลุ่มผู้สูงอายุกลุ่มนี้นั่นแหละ โดยเมื่อจ่ายเงินซื้อ Application จะมีฟีเจอร์ที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิม ผมจึงตั้งคำถามย้อนกลับไปว่าถ้าในเมื่อกลุ่มผู้สูงอายุนี้เขามีปัญหาเรื่องสายตาอยู่แล้ว เขาจะเป็นคนใช้ Application ด้วยตัวเองได้อย่างไร และถ้าเขาต้องจ่ายเงินเพิ่มเพื่อให้ได้ฟีเจอร์บางอย่างเพิ่มขึ้น เขาจะจ่ายทำไม เพราะในเมื่อแอพพลิเคชั่นตัวฟรี ยังใช้ยากเลย เพราะเขามีปัญหาเรื่องสายตาอยู่เลย รวมไปถึง Application ที่ทำขึ้นมาก็ใช้เทคโนโลยีตั้งมากมายแต่ตั้งใจจะขายคนเพียงแค่ 6 หมื่นคน ที่อาจจะไม่มีความสามารถในการซื้ออีกด้วย แค่ฟังตรงนี้ก็ไม่น่ารอดแล้ว (ผู้สูงอายุ ที่มีปัญหาเรื่องสายตา เชื่อได้ว่า ไม่น่าจะชอบเล่น smart phone และ ไม่น่าจะจ่ายเงินซื้อ application ใน smart phone ด้วย)

อย่าเป็น XYZ Killer

คนที่มีความคิดก้าวหน้าหน่อยๆเวลาที่เขาเห็นปัญหาอะไรที่มันไม่ดีเขาก็คิดว่าเขาจะสามารถทำได้ดีกว่านั้น อย่างช่วงที่ผ่านมา ตอนที่มีปัญหาวิกฤตการแพร่ระบาด เราจะได้ยินว่า Grap (ชื่อ brand สมมุติ) ต่างถูกโจมตีว่ามีการเก็บค่าส่วนต่างของอาหารที่ลูกค้าสั่งเยอะมาก ซึ่งเป็นการทำร้ายร้านอาหาร หลายคนก็เลยสร้างแอพพลิเคชั่น ที่เป็น การโคลนออกมา โดยบอกว่าเรามีส่วนต่างที่ต่ำกว่า ซึ่งจริงๆจุดขายมันต้องไม่ใช่แค่เรื่องนี้ ถ้าเราย้อนกลับไปก็จะพบว่า มีคนอีกเป็นจำนวนมากต้องการ Lazada version clone หรือ Facebook version clone หรือแม้กระทั่ง Google Version clone ซึ่งต้องบอกเลยว่ามีคนทำออกมาแล้วหลายรอบหลายครั้งหลาย Application แต่คำถามก็คือคุณเคยได้ยินหรือรู้จัก Application เหล่านั้นหรือไม่ 

หรือถ้าคุณรู้จัก Application หลังนั้นคำถามก็คือทำไมเราจะต้องไปใช้ ทำไมเราถึงต้องการ Facebook2 , Google2 เพราะในชีวิตจริงของเรา เพียงแค่แอปพลิเคชันตัวเดียวที่ตอบโจทย์ในเรื่องนั้นมันก็เพียงพอแล้ว 

ถ้าเราจะเป็น Killer จริงๆเราก็ต้องมั่นใจว่าเรามีเงิน เรามีวิสัยทัศน์ที่ใหญ่กว่าเขามากๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่าทำออกมาแล้วจะสำเร็จ ยกตัวอย่างง่ายๆตอนที่โลกเราเริ่มมีโซเชียล และตอนที่ Social บูมมากๆ Google ก็เคยทำ Google + ซึ่งนั่นเป็นโซเชียลมีเดียจากหน้า Google แต่ถามว่ามีคนใช้ไหม คำตอบก็คือปัจจุบัน Google + ปิดตัวไปแล้ว

นี่ระดับ Google ทำแล้วนะ ดังนั้นคิดให้ดีๆ 

คร่าวๆ ของที่ผมได้คุยกับพี่คนนี้ก็ประมาณนี้ก่อน จริงๆที่คุยกับพี่เขานานหลายชั่วโมงอยู่ แต่ว่าบางเรื่องก็ไม่สามารถเปิดเผยตรงนี้ได้ แต่ก็นับว่าเป็นการพูดคุยที่เปิดมุมมองอีกหลายๆมุม และทำให้ได้คิดในอีกหลายแง่มุมเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมากๆ